ค้นหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสุนัขของคุณ
Parvovirus สุนัขคืออะไร? Canine Parvovirus (CPV) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “พาร์โว” คือเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงในลำไส้ของสุนัข ทำให้มีอาการท้องเสียเฉียบพลัน เชื้อพาร์โวไวรัสส่งผลกระทบต่อสุนัขทุกวัย โดยเฉพาะลูกสุนัขที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและมีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่า เนื่องจากการติดเชื้ออาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ส่งผลให้หัวใจของลูกสุนัขล้มเหลว ผู้เลี้ยงจึงควรเรียนรู้สัญญาณของพาร์โวในลูกสุนัขเพื่อเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที อ่านบทความของเราเพื่อทำความรู้จักเชื้อไวรัสชนิดนี้ พร้อมเรียนรู้วิธีการรักษาพาร์โวไวรัสในสุนัขกันให้มากขึ้น
ลูกสุนัขและสุนัขที่ติดเชื้อพาร์โวอาจไม่แสดงอาการในระยะติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเครียดและปัญหาทางเดินอาหารอาจกระตุ้นให้เกิดอาการเร็วขึ้นได้ จำเป็นต้องมีการทดสอบโดยสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคอย่างเหมาะสม โดยอาการพาร์โวของสุนัขมีดังนี้
อาการรุนแรงของโรคพาร์โวในสุนัข
การติดเชื้อพาร์โวไวรัสในสุนัขแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะติดเชื้อ ระยะฟักตัว และระยะแสดงอาการ หลังจากที่ลูกสุนัขติดเชื้อไวรัสแล้ว พวกเค้าจะยังไม่แสดงอาการใด ๆ ตลอดระยะฟักตัวซึ่งกินเวลาประมาณ 3 – 7 วัน เมื่อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือด มันจะเริ่มโจมตีไขกระดูก เซลล์เม็ดเลือดขาว ลำไส้ และระบบทางเดินอาหาร ในไม่ช้า สุนัขจะเริ่มรู้สึกคลื่นไส้และมีอาการท้องเสียอย่างรุนแรง เมื่อพบสัญญาณของพาร์โวในลูกสุนัขหรือสุนัขโต ควรรีบพาพวกเค้าไปพบสัตวแพทย์ทันที
พาร์โวไวรัสในสุนัขเป็นโรคติดต่อที่รุนแรง แม้จะไม่ได้ลอยอยู่ในอากาศ แต่ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายพื้นผิว สุนัขอาจติดเชื้อพาร์โวจากการสัมผัสกับอุจจาระหรือพื้นผิวที่ติดเชื้อ ไวรัสชนิดนี้อาจปนเปื้อนบนตัว ขน และอุ้งเท้าของสุนัข รวมถึงบนพื้น บนเสื้อผ้า และมือของผู้ที่จับต้องสุนัขที่ติดเชื้อด้วย
เชื้อพาร์โวยังสามารถอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมได้นานหลายเดือน เนื่องจากทนทานต่อสารฆ่าเชื้อส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม สารฟอกขาวแบบเจือจางและน้ำยาทำความสะอาดสูตรพิเศษสามารถฆ่าเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ โดยนิยมใช้กันมากในโรงพยาบาลสัตว์
การวินิจฉัยโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความรุนแรงของอาการลงได้ การรักษาพาร์โวไวรัสในสุนัขไม่มีแนวทางที่ชัดเจนและยารักษาจำเพาะ สัตวแพทย์จะให้การดูแลแบบประคับประคองตามอาการเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ เช่น
สุนัขที่ติดเชื้อพาร์โวไวรัสมีอัตราการรอดชีวิตประมาณ 75 – 80% หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที พวกเค้าจำเป็นต้องนอนรักษาอาการในโรงพยาบาลเพื่อรับการดูแลจากสัตวแพทย์อย่างใกล้ชิด การรักษาพาร์โวสุนัขที่บ้านไม่เป็นที่แนะนำ แต่หากสุนัขของคุณมีอาการไม่รุนแรงหรือการรักษามีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป คุณสามารถเลือกรับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ได้
การรักษาที่บ้านสำหรับพาร์โวไวรัสในลูกสุนัขไม่ใช่วิธีที่ดีนัก ลูกสุนัขที่ป่วยหนักอาจเสียชีวิตได้เนื่องจากภาวะช็อกจากการติดเชื้อหรือภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง ด้วยเหตุนี้ เราจึงแนะนำให้เข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมในโรงพยาบาลมากกว่า
เพื่อป้องกันสุนัขหรือลูกสุนัขจากการติดเชื้อไวรัสพาร์โว ขอแนะนำให้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้
การฉีดวัคซีนป้องกันคือวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องสุนัขของคุณจากโรคร้าย การฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพสูงและช่วยลดความรุนแรงของโรค วัคซีนพาร์โวไวรัสสุนัขจัดเป็นวัคซีนหลักสำหรับสุนัข ลูกสุนัขควรได้รับวัคซีนเข็มแรกเมื่อมีอายุประมาณ 8 สัปดาห์ จากนั้นฉีดทุก ๆ 2 – 4 สัปดาห์จนกว่าจะมีอายุ 16 – 20 สัปดาห์ แนะนำให้ฉีดกระตุ้นเมื่ออายุครบ 1 ปี และทุก ๆ 3 ปี
สุนัขของคุณจะต้องฉีดวัคซีนพาร์โวไวรัสสุนัขเข็มกระตุ้นเมื่ออายุครบ 1 ปี และฉีดต่อเนื่องทุก ๆ 3 ปี นอกจากนั้น แนะนำให้ตรวจหาแอนติเจนของเชื้อพาร์โวไวรัสเป็นประจำด้วย
การดูแลเอาใจใส่มีความสำคัญมาก เพียงทำตามขั้นตอนง่าย ๆ ไม่กี่ขั้นตอน เช่น ฉีดวัคซีนและตรวจสุขภาพเป็นประจำ น้องหมาก็จะปลอดภัยจากโรคร้ายและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข หลังจากอ่านบทความเกี่ยวกับวิธีการรักษาและอาการของโรคพาร์โวในสุนัขกันไปแล้ว ก็ถึงเวลานัดตรวจสุขภาพให้เจ้าตัวน้อยของคุณ!
สุนัขที่ได้รับวัคซีนสามารถติดเชื้อพาร์โวได้ วัคซีนพาร์โวไวรัสสุนัขช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อโรคแต่อาจไม่ได้ผล 100% อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนตามกำหนดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการต่อสู้กับโรคได้
สุนัขสามารถติดเชื้อพาร์โวซ้ำได้อีกภายในเวลาไม่กี่ปี แม้จะหายจากโรคอย่างสมบูรณ์แล้วก็ตาม
หากคุณสังเกตเห็นอาการพาร์โวของสุนัข เช่น อาการคลื่นไส้ ท้องเสียอย่างรุนแรง มีเลือดปนในอุจจาระ หรือมีอาการปวดท้องและมีไข้ ให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที